วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

2 เมืองเล็ก น่าพาแฟนไปอาบลมหนาว


เรื่อง/ภาพ ก้าวยาว
Neopan_oofside@hotmail.com

กลิ่นอายลมหนาวที่กำลังพัดโชยมาแตะจมูก น่าจะพอทำให้หัวใจกลับมาอมยิ้มขึ้นมาได้บ้าง เพื่อชดเชยกับบาดแผลที่สายน้ำได้สร้างไว้ และกาลเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้กลับมาดังเดิม การเดินทางก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับการลบเลือนความทรงจำที่เราอยากลืม...
ปลายทางแห่งความหนาวที่ Destination คัดสรรค์ มาเป็นของกำนัลให้กับคุณผู้อ่านไว้เป็นตัวเลือกเพื่อการเดินทางพักผ่อนทั้ง 3 ที่นี้ น่าจะช่วยรักษาหัวใจอันอ่อนล้าให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง...



กาดกองต้า (ลำปาง)
เมืองซึ่งเสียงเกือกม้า...ดังแว่ว ก๊อกๆ แก๊กๆ มาแต่ก่อนที่เสียงเครื่องยนตร์จะคำรามน่าหนวกหูนี้ แม้ความเจริญจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงให้ทางเดินของม้าเปลี่ยนสู่ถนนของรถยนตร์ แต่หลายอย่างในลำปางยังไม่ได้วิ่งสู่หนทางบนความวุ่นวายไปเสียหมด
“กาดกองต้า” คือหนึ่งในชุมชนเล็กๆริมน้ำวัง ที่ยังยืนสงบนิ่งท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลาที่พัดโหม แม้ตลาดค้าขายเก่าแก่กว่า 100 ปีนี้ จะดูซบเซาลงไปมากหากเทียบกันวันวานอันรุ่งโรจน์ด้วยการค้าขายกับต่างชาติ อย่างอังกฤษ จีน พม่า ฯ

แม้ความเงียบเหงาจะเข้าปกคลุม แต่มันกลับยิ่งทำให้กาดกองต้าดูมีมนต์เสน่ห์ให้นักเดินทางที่มาเยือนต้องตะลึงกับบ้านไม้เก่าทรงขนมปังขิงทั้งสองข้างทาง ที่อ่อนช้อยด้วยลวดลายไม้แกะสลัก ประตูไม้หลายบานยังเปิดกว้างด้วยร้อยยิ้มต้อนรับผู้มาเยือน กลิ่นหอมจากของหวาน คาวรสชาติท้องถิ่นชวนให้เดินชิมตลอด
ท่ามกลางลมหนาวกับการได้มานอนย้อนเวลาในกาดกองต้า เพื่อเก็บเกี่ยวความเงียบสงบกลับบ้านน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการพักผ่อนในฤดูหนาวที่คุณไม่ควรพลาด หรือถ้าใครเป็นขาช๊อป ก็ไม่ต้องห่วงครับ กาดกองต้า จะแปรสภาพเป็นถนนคนเดินทุกเสาร์-อาทิตย์ ที่มากมายด้วยของกิน ของฝาก ของใช้ ฝีมือชาวบ้านท้องถิ่น ที่มายมาายจนเลืกซื้อกันไม่ถูก แล้วคุณจะไม่อยากห่างไปจาก “กาดกองต้า” ครับ

Kard kon ta Note Book
กาด แปลว่า ตลาด กอง แปลว่า ถนน ต้า แปลว่า ท่าน้ำ
กาดกองต้า ตั้งอยู่บน ถนนตลาดจีน ต.สวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง
ถนนคนเดินเปิดเฉพาะ เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17-00-22.00 น.
ที่พัก บ้านสบายดี (เกสเฮ้าท์)
218 กาดกองต้า ถ.ตลาดจีน ต.สวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง 52100
โทร 054-223612,084-4855842,089-5550880 Email : korakoch_th@yahoo.co.th
ห้องพักพัดลมราคา 200 บาท/หัว/คืน อาหารเช้าชุดละ 80 /คน
ห้องแอร์ 600 บาท/คืน



บ้านยาง (อ.ฝาง เชียงใหม่)
“บ้านยาง” หนึ่งในแดนลี้ลับที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางความสลับวกวน อันสูงชันในหุบเขาของอ.ฝาง หนทางดูยาวไกลและเนิ่นนาน แต่รับรอง ว่าปลายทางที่เราตามหานั้น คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะนอกจากความหนาวเย็นที่คุณจะได้รับแล้ว
ที่นี่ยังมากมายด้วยเรื่องราว ผู้คน บรรยากาศ อาหาร ฯ ที่จะพลันให้จินตนาหารคุณเลยเถิดไปได้ว่ากำลังเดินทางมาต่างแดน บ้านยางถูกหลายคนมองข้ามไปมากเพราะ มักจะขับเลยเถิดตั้งหน้าตั้งตารับลมหนาวกันที่ดอยอ่างข่าง ทั้งที่จริงๆแล้วคุณขับรถมาแต่ไกลถ้าจะเสียเวลาเพิ่มอีกสักนิดแวะเข้าไปบ้านยางละก็คุณจะได้สิ่งดีๆอีกหลายอย่างกลับบ้านเลยครับ

เพราะบ้านยาง คือหมู้บ้านจีนยูนานที่ยังคงเหนียวแน่นไว้ด้วยเรื่องราวจากจีนแผ่นดินแผ่นใหญ่ที่ยังไหลเวียนอยู่ในทุกตารางนิ้วบนผืนดินไทย ทั้งวัฒนธรรม ภาษา อาหาร ของกินพื้นบ้าน วิถีชีวิต ที่อาคันตุกะต่างถิ่นสามารถมองเห็น และชื่นชมความงามนี้ได้ตลอดบ้านเรือนสองฝั่งที่ทอดตัวยาวขึ้นสู่นเนินเขา
โดยเฉพาะหนาวๆแบบนี้ ถ้าคุณมีโอกาสมาอย่าพลาดเด็ดขาดกับการนั่งโซ๊ย สุกี้ยูนาน กับ ปาปา(ข้าวเหนียวดำใส่น้ำตาลปิ้งในใบตอง) ถ้ามาแล้วไม่ได้ชิมจะถือว่าคุณมาไม่ถึง ของช๊อปของฝากก็มีให้เลือกสรรค์ในสไตล์จีนยูนาน บ้านยางคือหมู่บ้านความลับแห่งฤดูหนาวที่รอนักเดินทางไปค้นหา....คำตอบ

Banyang Note Book
ที่พัก
บ้านยางเกสต์เฮ้าส์
167 หมู่ 2 (บ้านยาง) ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 50320
www.banyangguesthouse.com
โทรศัพท์ 081-035-0690,081-783-9806 คุณชาญชัย จารุวรกุล
ราคาคนละ 350 บาท รวมอาหาร 3 มื้อ แบบชาวบ้าน
บ้านยางเป็นชาวจีนเชื้อสายยูนานกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
ในหมู่บ้านมีคนนับถือศาสนากันต่างกันถึง 3 ศาสนา พุทธ อิสลาม คริสต์ แต่ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบไม่มีกำแพงศาสนามาขวางกั้น
ฤดูหนาวเหมาะที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวตั้งแต่เดือน พ.ย.-สิ้น ก.พ.
อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 24-26 องศา

story from manager online

มหัศจรรย์ สามพันโบก แกรนด์แคนยอนเมืองไทย

มหัศจรรย์ สามพันโบก แกรนด์แคนยอนเมืองไทย

หากต้องเดินทางไกลไปสัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ อย่าง "แกรนด์แคนยอน" ดินแดนแห่งหินผาและหุบเหว ในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความสูงของหน้าผาถึง 1,600 เมตร และหุบเหวสูงถึง 450 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะเวียนไป พิสูจน์ความงามนับเป็นแสน ๆ คนต่อปี... อาจจะดูไกลไปนิด... วันนี้เราขอแนะนำให้รู้จักกับ "แกรนด์แคนยอนเมืองไทย" สถานที่ท่องเที่ยวแสนใกล้ ที่ขอรับรองว่าโดนใจคนไทยแน่นอน นั่นก็คือ... "สามพันโบก" แก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง ที่มีความสวยงามมาก ๆ


"สามพันโบก"ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง (ประมาณเดือนมกราคม – เมษายน) ทั้งนี้ ที่เรียกว่า "สามพันโบก"เพราะบนแก่งหินมีแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง (คำว่า "โบก" เป็นภาษาลาว แปลว่า "แอ่ง") จึงเรียกที่นี่ว่า สามพันโบก
นอกจากนี้ ลักษณะของแก่งหินยังมีขนาดใหญ่มากคล้ายภูเขากลางลำน้ำโขง ความสวยงามวิจิตรของหินที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนเว้าแหว่ง มองเห็นเป็นภาพศิลปะ มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป ใหญ่บ้างเล็กบ้าง บ้างเป็นรูปวงรี รูปดาว รูปวงกลม และรูปอื่น ๆ อีกมากมาย ตามแต่ที่เราจะจินตนาการ เพราะมีมากกว่า 3,000 แอ่ง "สามพันโบก" จึงได้ฉายาว่า"แกรนแคนย่อนเมืองไทย" ...ถ้าอยากรู้ว่าสวยงามแค่ไหน ต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองค่ะ
อย่างไรก็ตาม การเดินทางท่องเที่ยวทางเรือไปยังแก่งสามพันโบก นิยมนั่งเรือจากหาดสลึงที่บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร ล่องตามลำน้ำโขงระยะทาง 4 กิโลเมตร ระหว่างทางจะผ่าน "ปากบ้อง" จุดแคบที่สุดของแม่น้ำโขง ซึ่งมีความกว้างเพียง 56 เมตร และ "หินหัวพะเนียง" เป็นแก่งหินกลางแม่น้ำที่ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย หรือสองคอน ในภาษาท้องถิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อ "บ้านสองคอน"

และในบริเวณใกล้เคียงกันนั้น ยังมี "ถ้ำ" ที่มีความสวยงามมาก คือ ถ้ำนางเข็นฝ้าย, ถ้ำนางต่ำหูก, หาดหงษ์, หาดหินสี, หลักศิลาเลข, แก่งสองคอน, ภูเขาหิน และหาดแห่ โดยมีที่พักให้นักท่องเที่ยวได้พักอย่างสะดวกสบายริมหาดสลึง พร้อมร้านอาหารไทยและอีสานมากมาย

ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร โทร.0-4533-8057, 0-4533-8015

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ MilkyWay

เทียวเมืองลาว เบิ่งวังเวียง ไปกับนักศึกษา




08.00 น. ทีมงาน ที เอ็น ทราเวลแอนด์เซอร์วิส ต้อนรับคณะที่จุดนัดพบ และนำท่านออกเดินทางสู่สะพาน มิตรภาพไทย – ลาว ชมทิวทัศน์ความ งดงามของสองฝั่งโขงสายใยเชื่อมสัมพันธ์พี่น้องไทย – ลาว ถึงด่านตรวจ คนเข้าเมือง สปป.ลาว ใช้ เวลาทำเอกสารพิธีการต่าง ๆ ประมาณ 10 นาที รับการต้อนรับจากมัคคุเทศก์สาวลาว ในชุดประจำชาติสวยงามยิ่งนัก จากนั้นนำท่านเดินทางสู่นครหลวงเวียงจันทน์ และมุ่งหน้าสู่เมืองวังเวียง ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ระหว่างทางนำท่านชม ตลาดหลัก 52เป็นตลาดชนเผ่า มีสินค้านานาชนิด ให้เลือกซื้อมากมาย หมู่บ้านท่าเรือ เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากปลา เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หมู่บ้านปลา” ชาวบ้านที่นี่เกือบทุกหลังคา เรือน มีอาชีพจับปลา เป็นอาชีพหลัก
11.30 น. ถึงเมืองวังเวียง รับประทานอาหารกลางวัน (1) ณ ร้านอาหาร
ชมถ้ำจัง ชมความงดงามของปฏิมากรรมธรรมชาติ และรับฟังตำนาน ฆ้อนตะบองเพชร เห็ดล้านปี ฤๅษีนั่งตั่ง สืบตำนานนางผมหอม
13.00 น. Check In โรงแรม_________ จากนั้น ออกเดินทางสู่หมู่บ้านชนเผ่าขมุ ห่างจากเมืองวังเวียง10 กม. (สวมเสื้อผ้าให้สบายที่สุด)
ล่องเรือ Kayak / ล่องห่วงยาง ตามลำแม่น้ำซอง ท่านจะได้รับทั้งความตื่นเต้น สนุกสนาน กับการโชว์ลีลา กระโดดน้ำ และ ชื่นชมความงดงามของกุ้ยหลินเมืองลาว ใช้เวลาล่องคายักประมาณ 3 -4 ชั่วโมง สมควรแก่เวลาเดินทางกลับโรงแรม
18.00 น. รับประทานอาหารเย็น (2) ณ ร้านอาหาร และเชิญท่านท่องราตรีเมืองวังเวียง หรือ พักผ่อน ตามอัธยาศัย


07.00 น. รับประทานอาหารเช้า(3)ในโรงแรมที่พัก เก็บสัมภาระให้เรียบร้อย และนำท่านชมตลาดเช้าวังเวียง ออกท่านเดินทางสู่เขื่อนไฟฟ้าน้ำงึม เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศลาว สร้างเสร็จในเมื่อปี พ.ศ. 2514 นอกจากจะผลิดกระแสไฟฟ้า ใช้ภายในประเทศ แล้วยัง ส่งขายให้ไทยเราอีกด้วย
12.00 น. ถึงเขื่อนน้ำงึม ร้ับประทานอาหารกลางวััน(4) ณ ร้านอาหารหน้าเขื่อน ด้วยเมนูเด็ด จากปลาสด ๆ จากนั้นเดินกลับสู่นครหลวงเวียงจันทน์
15.00 น. ถึงนครหลวงเวียงจันทน์ ชมสิ่งที่ดีที่สุดในเวียงจันทน์ อาทิ
พระธาตุหลวง พระธาตุองค์ใหญ่สูงสง่าตั้งเด่นอยู่ในกลางเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรม สารีริกธาตุพระพุทธเจ้า สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช โดยสร้างครอบพระธาตุองค์เดิมไว้
ประตูชัย สถาปัตยกรรมผสมผสานลาวล้านช้างกับฝรั่งเศส สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงวีระบุรุษวีรชน ของนักรบนิรนามทุกยุค ทุกสมัย ชั้นบนสุดท่านสามารถชมทิวทิศน์ของนครหลวงเวียงจันทน์ได้รอบทิศทาง
ตลาดเช้า เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในเวียงจันทน์ เลือกซื้อสินค้าของที่ระลึกมากมาย
16.00น. ชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษี ที่ด่านมิตรภาพลาว – ไทย เลือกซื้อสินค้าปลอดภาษีมากมาย อาทิ กระเป๋า เหล้า บุหรี่ และอื่น ๆ จากทั้งจีน เวียดนาม สิงคโปร์ เกาหลี และ ฮ่องกง ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย

ค่าบริการ สำหรับ 4 - 6 ท่านขึ้นไป ท่าน ๆ ละ 4,900 บาท
หมายเหตุ: ราคานี้เริ่มต้นที่จังหวัดหนองคาย

ราคาทัวร์รวม
- ค่าทำบัตรผ่านแดน
- ค่าเอกสารพิธีการต่าง ๆ
- รถนำเที่ยว
- อาหารทุกมื้อระหว่างการเดินทาง
- โรงแรมระดับมาตรฐาน 1 คืน(พักห้องละ่ 2 ท่าน)
- ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว
- ไกด์นำเที่ยว
- ประกันการเดินทาง 200,000 บาท ราคาทัวร์ไม่รวม
- วีซ่าลาว (สำหรับชาวต่างประเทศ)
- ค่าโทรศัพท์ มินิบาร์ เหล้า เบียร์
- อื่น ๆที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายการ

เอกสารที่ใช้ในการเดินทาง
1. หนังสือเดินทาง(Passport)
กรณีไม่มีหนังสือเดินทาง

สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ใบ
เด็กใช้สำเนาสูติบัตร หรือสำเนาทะเบียนบ้าน และรูปถ่ายขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ

สนใจทัวร์นี้ติดต่อ
ที เอ็น ทราเวลแอนด์เซอร์วิส

เที่ยวตลาด 100 ปี “บ้านใหม่” “แปดริ้ว” ไปกับนักศึกษา











เที่ยวตลาด 100 ปี “บ้านใหม่” ใกล้นิดเดียว แค่ “แปดริ้ว”
เมื่อพูดถึงตลาดบรรยากาศย้อนยุคไปเมื่อ 100 ปีก่อน หลายคนคงร้องอ๋อ นึกออกขึ้นมาทันทีว่าเป็นตลาดสามชุก ริมแม่น้ำสุพรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแน่

เพราะที่นั่นมีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยบรรยากาศห้องแถวไม้ 2 ชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ รายล้อมไปด้วยบ้านเรือนและรื่องราวของผู้คนในอดีต โดยแทบจะไม่มีการดัดแปลงเสริมแต่ง แต่ทีเปลี่ยนแปลงไปคือจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเดินจับจ่ายซื้อของและเก็บบรรยากาศ

แต่ตลาดที่ผมกำลังจะพาไปเที่ยว ไม่ใช่ตลาดสามชุกครับ แต่เป็นตลาดที่มีอายุราวๆ 100 ปีเช่นเดียวกัน อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯของเรานี่เอง นั่นก็คือ ตลาดบ้านใหม่ เมืองแปดริ้ว

(ข้าวโพดเผาแบบโบราณ)
(กาแฟเจ้านี้ คนแน่นสุดๆ )
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับเพราะผมไปมาแล้ว ทันทีที่ก้าวเข้าไปในตลาดเก่าอายุกว่า 100 ปี ก็ได้กลิ่นไอ บรรยากาศของชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ซึ่งในอดีตตลาดแห่งนี้มีความคับคั่งด้วยผู้คนที่มาประกอบอาชีพค้าขาย รวมทั้งเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะมีอาคารบ้านเรือนที่ปลูกสร้างติดๆ กัน และอยู่ชิดริมแม่น้ำ ทั้งยังมีท่าเรือหลงเหลือให้เห็น

ภายตลาดบ้านใหม่ คล้ายๆ กับตลาดสามชุก คือยังคงสภาพบ้านไม้โบราณปลูกเป็นตึกแถว 2 ชั้นติดต่อกัน จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมีมานานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุยังคงสถาพเหมือนเดิมเมื่อครั้งรุ่นคุณปู่คุณย่ายังสาว (ชาวบ้านย่านนั้นเขาบอกมา) ฮา..

(ไก่ย่างสมุนไพร สูตรต้นตำหรับ)
แม่ค้าพ่อค้า ย่านนั้นยังบอกด้วยว่า มีภาพยนตร์ และละครย้อนยุคเกียวกับชีวิตชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน หลายเรื่องเข้ามาถ่ายทำที่ตลาดบ้านใหม่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นละครเรื่องอยู่กับก๋ง เจ้าสัวสยาม และภาพยนตร์เรื่องนางนาค

ด้วยบรรรยากาศย้อนยุคแล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารอร่อย ขนมและของขบเคี้ยวนานาชนิด รวมถึงอาหารคาว-หวาน โบราณหลากหลายชนิดแล้ว ตลาดแห่งนี้ยังเป็นที่รวบรวมอาหารรสเด็ดของแปดริ้ว ทั้งอาหารจีน อาหารไทย ที่มีรสชาติตามมาตรฐานอาหารของแต่ละชาติ มีร้านกาแฟโบราณรสชาติเข้มข้น หอมหวานได้บรรยากาศดีมากๆ ขอบอก เพราะคนเต็มร้านตลอด

(รุ่นนี้ตั้งแต่ผมยังไม่เกิด)
(ลูกมะขวิด)
ตลาดบ้านใหม่แห่งนี้ จังหวัดฉะเชิงเทราได้มีการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่เมื่อ 2547 เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมวิถีชีวิตย้อนยุค เลือกชิมอาหารรสอร่อย รวมถึงเลือกซื้อของฝากจากแปดริ้ว

(ช่วยปล่อยหนูหน่อย )
เพราะคนส่วนใหญ่ที่ไปแปดริ้วมักจะไปขอพรหลวงพ่อโสธร สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองชาวแปดริ้ว และล่องเรือชมธรรมชาติ ศึกษาประวัติศาสตร์แห่งลุ่มน้ำบางปะกง ชมปลาโลมา ที่พร้อมใจกันเดินทางมาชุมนุมที่ปากอ่าวแม่น้ำบางปะกง เพื่อกินปลาดุกทะเล ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ดังนั้นหากใครยังพอมีเวลาเหลือ ลองแวะไปตลาดบ้านใหม่ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ

(บ้านริมแม่น้ำบางปะกง)
โดยสามารถเดินทางได้มาเที่ยวชมได้ทั้งทางรถและทางเรือ แต่ขอแนะนำให้มาทางเรือนะครับ เพราะหากใครมีโอกาสแวะไปกราบขอพร หลวงพ่อพุทธโสธรองค์จริง และชมพระอุโบสถมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ที่ แล้วสามารถลงเรือจากท่าวัดโสธร มาเทียวตลาดบ้านใหม่ได้ด้วย
------//------

ตลาดบ้านใหม่

ที่ตั้ง : ถนนศุภกิจ (ทางไปอำเภอบางน้ำเปรี้ยว) อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00–1700 น.

รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ สามารถใช้เส้นทางได้หลายเส้นทาง

1. ใช้ถนนหมายเลข 304 มีนบุรี – ฉะเชิงเทรา
2. ใช้ถนนหมายเลข 34 บางนา – ตราด เลี้ยวเข้าถนนหมายเลข 314 บางปะกง – ฉะเชิงเทรา
3. ใช้ถนนหมายเลข 3 สมุทรปราการ – บางปะกง แล้วต่อด้วยถนนหมายเลข 314 บางปะกง – ฉะเชิงเทรา
4. ใช้ถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ ฯ – พัทยา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 314 บางปะกง – ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองฉะเชิงเทรา

รถประจำทาง จากกรุงเทพฯ มีรถประจำทางออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (ถนนกำแพงเพชร 2) และสถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย)

รถไฟ (หัวลำโพง) มีขบวนรถไฟมาฉะเชิงเทราทุกวัน จากนั้นโดยสารเล็กจากสถานี สายรอบเมืองวิ่งผ่านวัดโสธรวรารามวรวิหาร และตลาดบ้านใหม่
------------------//----------------
โดย นายตะเกียง

oknation.net

เกาะเสม็ด เด็ดทุกร้อน

เกาะเสม็ด เด็ดทุกร้อน


เที่ยวเสม็ดแบบเป็นคู่

“เพลินชมเกาะสวรรค์ กลางทะเลเด่นลอย น้ำเย็นกระเซ็นฝอย คลื่นทยอยไหลหลั่ง โอนเอนพร้าวปาล์มไสวตามคุ้มฝั่ง หรีดหริ่งหูฟังเรไรชื่นบาน...”

ท่อนแรกของเพลง “เกาะสวรรค์”

เมื่อราว 30 ปีที่แล้ว เด็กถา'ปัด ศิลปากร(นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร)กลุ่มหนึ่ง เดินทางไปเที่ยว“เกาะเสม็ด” จ.ระยอง แล้วประทับใจในความงดงามปานเนรมิต ใครบางคนในทริปจึงร้อยรจนาออกมาเป็นบทเพลง“เกาะสวรรค์”อันชวนซาบซึ้ง

รูปปั้นพระอภัยมณี-นางเงือก บนแนวโขดหินหาดทรายแก้ว

และถ้าหากย้อนอดีตไปไกลกว่านั้นในสมัยต้นยุครัตนโกสินทร์ มหากวีศรีรัตนโกสินทร์“สุนทรภู่”ได้ใช้เกาะแห่งหนึ่งเป็นฉากในวรรณคดีอมตะเรื่อง“พระอภัยมณี”ใช้ชื่อว่า“เกาะแก้วพิสดาร” พรรณาถึงความงดงามผสานไปกับบทเลิฟซีนสุดอัศจรรย์พันลึกระหว่างคน(พระอภัยมณี)กับนางเงือกและผีเสื้อสมุทร ชนิดที่อวตารยังต้องค้อนในจินตนาการที่ล้ำหน้ามาก่อนนับร้อยปี ซึ่งเกาะแก้วพิสดารนี้หลายคนเชื่อว่าคือ “เกาะเสม็ด”นั่นเอง

เสม็ดรำลึก

ชื่อเสียงความงามของเกาะเสม็ด เข้าหูเข้าตา“ตะลอนเที่ยว”ตั้งแต่สมัยเรียน ม.ต้น เกาะเสม็ดเป็นเกาะแรกในชีวิตที่เรากับเพื่อนๆมีโอกาสไปเยือน(ราว 20 ปีที่แล้ว) จำได้ว่ายุคนั้นพวกเราไปเที่ยวกันแบบซำเหมา ขอติดเรือประมงจากบ้านเพไปลงบนเกาะ แล้วแบกสัมภาระเดินเท้าไปยังหาดทรายแก้ว นอนเต็นท์ ก่อกองไฟ แค้มปิ้งป์ ปิ้งหอย ปิ้งปลา ดื่ม-กิน-นอน ในมุมสงบๆริมชายทะเลนั่นแหละ(ยุคนั้นก่อไฟได้)

มาเที่ยวเสม็ดกันแบบครอบครัว

หาดทรายแก้วในยุคนั้นได้ชื่อว่าเป็นหาดทรายที่สวยที่สุดในภาคตะวันออก มีความสงบ ไม่พลุกพล่าน มีร้านขายของ ร้านอาหารชาวบ้านอยู่ 2-3 เจ้า ที่สำคัญคือมีความสวยงามเป็นธรรมชาติอยู่มาก มีน้ำทะเลสวยใสน่าลงแหวกว่าย หาดทรายก็กว้างยาวขาวละเอียดปานแป้งชนิดที่เอาไปหลอกเพื่อนสาวบางคนให้ทาหน้าได้

เกาะเสม็ดเมื่อครั้งกระโน้นจึงเปรียบดังสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หากแต่ว่างดงามไปด้วยเสน่ห์อันชวนหลงใหล มีชื่อเสียงนำโด่งเป็นจ่าฝูงของเกาะงามใกล้กรุงที่วัยรุ่นนักศึกษายุคนั้นถ้าไม่อยากตกเทรนด์“ต้องไป” เหมือนอย่างปายในทุกวันนี้

มุมส่วนตัวที่หาดทรายแก้ว

หลังจากนั้นเมื่อเกาะเสม็ดโด่งดัง นักท่องเที่ยว นายทุน ได้เดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในเพลาไม่นานนักสาวน้อยใสซื่อที่ชื่อ“เกาะเสม็ด”ได้ถูกกระแสธารของการท่องเที่ยวแบบไทยๆที่ขาดการบริหารจัดการในหลายๆด้านกลุ้มรุมกระทำ จนเธอกลายเป็นสาวใหญ่ผู้กร้านโลกที่มากไปด้วย “โรค”อันไม่พึงประสงค์ที่ตามมากับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น โรคขยะ สิ่งแวดล้อม น้ำเสีย นายทุนบุกรุกป่า และโรคน้ำใจเหือดหายของชาวบ้านส่วนหนึ่งและผู้ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจท่องเที่ยวบนเกาะ

แต่กระนั้นเสม็ดก็ไม่ทิ้งลายกลายเป็นเกาะท่องเที่ยวยุคใหม่ ที่แม้มนต์เสน่ห์ของความสงบเป็นธรรมชาติจะลดน้อยถอยลงไปเยอะ แต่เสม็ดก็ถูกแทนที่ด้วยแสงสีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่อาจจะไม่ถูกใจใครบางคนแต่ว่าก็ยังคนเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่อยู่ไม่สร่างซา ดูได้จากหน้าร้อนของทุกปี เสม็ดถือเป็นทีเด็ดที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจะพาร่างกายและหัวใจไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของเกาะแห่งนี้กันอย่างเนืองแน่น

หาดทรายแก้วกับแนวหาดยาว กว้าง เนียน

หาดทรายแก้ววันนี้

หน้าร้อนปีนี้ร้อนแรงทั้งอากาศและสถานการณ์บ้านเมือง ฉะนั้นการไปคลายร้อนที่เกาะเสม็ดจึงช่วยได้ไม่น้อยเลย สำหรับที่พักบนเกาะเสม็ดนั้นมีมากมายหลายหลาก อยู่ตามอ่าวตามหาดต่างๆซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีบรรยากาศชวนเที่ยวแตกต่างกันออกไป สนนราคาก็แตกต่างกันไป ตั้งแต่ราคาย่อมเยาในหลักร้อยไปถึงราคาแพงระยับหลักหมื่นสำหรับชาวต่างชาติหรือคนไทยเงินถุงเงินถัง

ใครที่อยากเที่ยวแบบเหมาะสมกับฐานะการเงินของตน ทางที่ดีควรศึกษาหาข้อมูลก่อนเพื่อจะได้ไม่มาช้ำใจทีหลังว่าทำไมราคามันถึงหฤโหดอย่างนี้ หรือไม่เวลาไปก็หาที่พักลำบากแถมยังถูกโก่งราคาอีกต่างหากเพราะไม่ได้จองล่วงหน้า มันย่อมจะทำให้ความรู้สึกในการเที่ยวเกาะเสม็ดดร็อปด้อยลงไปมากโขทีเดียว

หลากหลายกิจกรรมที่หาดทรายแก้ว

อย่างไรก็ดี“ตะลอนเที่ยว” มีคำแนะนำจากคนขับแท็กซี่(กระบะสีเขียว)ที่พาเราไปเที่ยวยังหาดต่างๆว่า ถ้าอยากมาพักแบบคนไม่พลุกพล่าน ราคาเลือกได้ ทำเลเลือกได้ ควรมาในช่วงวันธรรมดาเป็นดีที่สุด

สำหรับทริปนี้เราเลือกพักที่รีสอร์ทบรรยากาศดีแห่งหนึ่งบริเวณช่วงปลายๆของหาดทรายแก้วเพื่อรำลึกถึงบรรยากาศในอดีตกับเพื่อนๆ อีกทั้งยังอยากเที่ยวชมแสงสีวิถีความเปลี่ยนแปลงบนหาดแห่งนี้ ซึ่งก็ได้เห็นสมใจอยากชนิดเกินคาดกันเลยทีเดียว

หาดทรายแก้ววันนี้ แม้ไม่เหลือเค้าของหาดสงบอุดมธรรมชาติเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังดูมีมนต์ขลังด้วยความงามของชายหาดกว้าง ทอดตัวเป็นแนวยาวร่วม 800 เมตร ซึ่งลาดเทเอียงองศาเล็กน้อยลงสู่ท้องทะเลน้ำตื้นที่ไม่เคยร้างลาผู้คน

แก้เมื่อยด้วยการนวดชายหาด

ในขณะที่ฝั่งช่วงต้นของหาดที่เป็นแนวโขดหินยื่นออกมาเล็กน้อย เป็นที่ตั้งของประติมากรรมพระอภัยมณี(เป่าปี่)และนางเงือก ส่วนพี่เสื้อสมุทรนั้นไม่มี แต่ก็มีนักท่องเที่ยว(ญ.)หลายๆคนลงทุนทำตัวเป็นผีเสื้อสมุทร ซึ่งบางคนดูแล้วเหมาะสมกับรูปร่างไม่น้อยเลย

ด้วยเสน่ห์ที่ยังมีมนต์ขลังทำให้หาดทรายแก้วครองความเป็นหาดยอดนิยมอับดับหนึ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในวันหยุดช่วงกลางวันโดยเฉพาะยามเย็น ที่นี่จะคราคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ มีทั้งที่มาเดี่ยว มาคู่ มาเป็นหมู่คณะ และมาเป็นครอบครัว ซึ่งแต่ละคนแต่ละกลุ่มต่างเลือกหาพื้นที่ส่วนตัวทำกิจกรรมต่างๆนานา บนชายหาดกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น เล่นน้ำ เล่นทราย เดินเล่น พายเรือ เล่นห่วงยาง อาบแดด นอนนวดริมหาด หรือไม่ก็นั่งชิลล์บนเตียงผ้าใบใต้ร่มชายหาด สั่งอาหารเครื่องดื่มมานั่งดื่มกินกันตามใจชอบ

โชว์ควงกระบองไฟ ณ หาดทรายแก้ว

ครั้นย่ำยามราตรีบนหาดแห่งนี้จะเปลี่ยนอารมณ์ไปอีกแบบ กลายเป็นเมืองราตรีที่คึกคักไปด้วยแสงสีวิบวับวอบแวมจากร้านอาหารกึ่งผับกึ่งบาร์เบียร์ที่ตั้งวางหนาแน่นเรียงรายไปเกือบตลอดแนวชายหาด ร้านอาหารริมหาดที่นี่จะนำเสื่อหรือเบาะมาปูพร้อมด้วยโต๊ะอาหารเตี้ยๆ(ที่นั่งชั่วคราว) สำหรับนั่งกินบนพื้นทรายที่ยื่นเข้าไปในแนวหาด หลายร้านเปิดเพลง(ดังลั่น)เป็นจุดดึงดูด หลายร้านมีโชว์ควงกระบองไฟเป็นจุดขาย ในขณะที่ลึกเข้าไปในฝั่งก็คึกคักไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกซึ่งดูคึกคักไม่แพ้กัน

อ่าววงเดือน กับโค้งอ่าวสวยงามรูปจันทร์เสี้ยว

เสม็ดวันนี้

อย่างไรก็ตามไหนๆเมื่อมาเสม็ดแล้ว การจะเที่ยวจุมปุ๊กอยู่เพียงหาดทรายแก้วที่เดียวมันดูจะขาดรสชาติไปหน่อย นั่นจึงทำให้ในช่วงบ่ายของอีกวันเราเลือกไปเที่ยวยังอ่าววงเดือน อ่าวดังอันดับสองของเกาะเสม็ด

อ่าววงเดือน มีเวิ้งอ่าวเป็นโค้งเคียวเสี้ยวจันทร์สวยงาม ที่นี่แม้ไม่พลุกพล่านอย่างหาดทรายแก้ว แต่ก็มีนักท่องมาพักเป็นจำนวนมาก เนื่องจากอ่าววงเดือนมีกิจกรรม สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และที่พักหลากหลายราคาในบรรยากาศที่แตกต่างให้เลือก

กิจกรรมยามเย็นที่อ่าวพร้าว

จากนั้นช่วงบ่ายเราไปต่อยังอ่าวพร้าวที่ตั้งอยู่ในทิศตรงข้ามของหาดทรายแก้ว อ่าวพร้าวขึ้นชื่อในเรื่องความเป็นส่วนตัวและความสงบ ที่พักที่นี่มีราคาค่อนข้างสูง แต่มีชาวต่างชาติมาพักเป็นจำนวนมาก

อ่าวพร้าวมีความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นคือ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกทะเลชั้นดี ทำให้แต่ละวันมีคนเดินทางมาเฝ้ารอชมตะวันลับฟ้าเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งในช่วงนี้พระอาทิตย์จะตกในช่วงกลางของหาดพอดี

อาทิตย์อัสดง ณ อ่าวพร้าว

หลังแสงสุดท้ายของวันหลังชมพระอาทิตย์ตกที่อ่าวพร้าวผ่านพ้น เรากลับไปสัมผัสกับแสงสียามราตรีริมชายหาดที่หาดทรายแก้วอีก 1 คืน มองดูความเป็นไปของหาดทรายแก้วที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามพิสุทธิ์ดุจดังสวรรค์น้อยๆของเรา แต่วันนี้สวรรค์เบี่ยงกลายสภาพเป็นอย่างที่เห็น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า“เกาะเสม็ดเสร็จอีกราย” เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าเกาะแห่งนี้ได้ถูก(เสร็จ)กระแสธารการท่องเที่ยวแบบไทยๆไปนานแล้ว

*****************************************

เกาะเสม็ด ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านเพ จ.ระยอง อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ชื่อของเกาะเสม็ดตั้งตามสภาพบนเกาะที่ในอดีตมีต้นเสม็ดอยู่เยอะทั้งเสม็ดขาว เสม็ดแดง ในอดีตชาวบ้านใช้ทำไต้จุดไฟ

ปัจจุบันเกาะเสม็ดถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทีเด็ดรับลมร้อนอันดับต้นๆของเมืองไทย นอกจากหาดเด่นๆในเนื้อเรื่องแล้วยเกาะเสม็ดยังมีหาดชวนเที่ยวอีก อาทิ อ่าวไผ่ อ่าวน้ำสวยใสที่ยามราตรีมีแสงสีความครึกครื้นในระดับน้องๆของหาดทรายแก้ว อ่าวน้อยหน่า ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมีชายหาดเล่นน้ำได้ อ่าวหวาย ที่ค่อนข้างสงบน่าพักผ่อน ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง ที่พัก และข้อมูลการท่องเที่ยวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานระยอง โทร. 0-3865-5420-1,0-3866-4585

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2553 17:21 น.



เที่ยววัด-วัง “บางปะอิน” กินของอร่อย “ตลาดโก้งโค้ง”

เที่ยววัด-วัง “บางปะอิน” กินของอร่อย “ตลาดโก้งโค้ง”

Photobucket
ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างศิลปะไทยและตะวันตก ที่พระราชวังบางปะอิน

จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาเยือนอยู่เสมอ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงที่ไปสะดวก เที่ยวสนุก โดยอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา อันเป็นมรดกโลกของเรานั้นเป็นจุดมุ่งหมายหลักของผู้ที่เดินทางมา แต่ช่วงหลังๆ นี้มักมีข่าวสภาพความเสื่อมโทรมและเรื่องการบุกรุกพื้นที่โบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์ฯ ไปจนถึงข่าวว่ามรดกโลกชิ้นนี้จะโดนถอดถอนอยู่บ่อยครั้ง ก็ให้เศร้าใจกับการจัดการหน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานกันไม่เด็ดขาด แท้จริงแล้วตัวอุทยานประวัติศาสตร์ฯนั้นมีคุณค่ายิ่ง แต่หากคนในพื้นที่ไม่ช่วยกันดูแล มัวแต่ขัดแข้งขัดขา ห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองแล้วก็คงยากที่จะมีการจัดการที่ดีได้

บ่นไปบ่นมา “ตะลอนเที่ยว” ที่มาถึงอยุธยาแล้วก็เลยไม่แวะไปถึงใจกลางกรุงเก่า ขอเที่ยวอยู่เพียงแค่ “บางปะอิน” เท่านั้นพอ เพราะที่นี่เขาก็มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่มาก ที่เหมาะจะเป็นทริปเที่ยวสั้นๆ แบบเช้าไปเย็นกลับได้เป็นอย่างดี
Photobucket
พระที่นั่งเวหาศจำรูญ งดงามด้วยศิลปะแบบจีน

มาที่บางปะอินแล้วก็ต้องมาชม “พระราชวังบางปะอิน” พระราชวังอันงดงามในอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระราชวังเก่าตั้งแต่สมัยอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งในปี พ.ศ.2175 พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดและพระที่นั่งขึ้นในบริเวณที่เสด็จพระราชสมภพ และต่อมาพระราชวังแห่งนี้ก็กลายเป็นที่เสด็จประพาสเพื่อความสำราญของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา ก่อนจะถูกทิ้งร้างหลังเสียกรุงฯ และได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้งในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนกลายเป็นพระราชวังตากอากาศที่งดงาม ด้วยพระที่นั่งที่มีสถาปัตยกรรมทั้งแบบไทยและแบบยุโรป

สัญลักษณ์ของพระราชวังบางปะอินที่หลายๆคนคุ้นตานั้นก็คือ “พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์” พระที่นั่งกลางน้ำทรงปราสาทจตุรมุข จำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ภายในพระที่นั่งประดิษฐานพระบรมรูปสัมฤทธิ์ของรัชกาลที่ 5 ไว้ ความสวยงามแบบไทยๆ ของพระที่นั่ง ผสมผสานเข้ากับรูปปั้นเทพและเทพีแบบตะวันตกที่อยู่บนหัวเสาราวสะพาน ก็เป็นส่วนผสมที่งามแปลกตา และเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

Photobucket
นั่งกระเช้าข้ามน้ำไปยังวัดนิเวศธรรมประวัติ

นอกจากนั้นภายในพระราชวังบางปะอินก็ยังมีสิ่งที่น่าชมอย่าง “พระที่นั่งวโรภาษพิมาน” อาคารสไตล์ยุโรป ที่ภายในเป็นท้องพระโรงจัดแสดงศิลปวัตถุต่างๆไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์ที่ประทับของรัชกาลที่ 6 ชุดโต๊ะเก้าอี้สวยงามต่างๆ ภาพวาดสมัยรัชกาลที่ 5 ฯลฯ “หอวิฑูรทัศนา” หอสูง 4 ชั้นที่ถือเป็นหอชมวิวพระราชวังบางปะอินชั้นเยี่ยม นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดขึ้นไปชม “พระที่นั่งเวหาศจำรูญ” ก็เป็นพระที่นั่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ เพราะเป็นพระที่นั่งที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนสีแดงโดดเด่น ภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบจีนที่วิจิตรงดงามอีกด้วย

หากเดินชมความงดงามของพระราชวังบางปะอินจนทั่วแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ก็ขอว่าอย่าพลาดมาชม “วัดนิเวศธรรมประวัติ” วัดงามที่อยู่บนเกาะบ้านเลนกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงกันข้ามกับพระราชวังบางปะอิน ซึ่งแม้ว่าจะตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำ แต่ที่นี่เขาก็ไม่ใช้เรือข้ามฟาก แต่กลับใช้กระเช้าลอยข้ามน้ำเข้าสู่บริเวณวัด โดยมีพระหรือศิษย์วัดเป็นผู้ควบคุมกระเช้าดูเท่ไม่หยอก

Photobucket
ภายนอกพระอุโบสถวัดนิเวศฯ ที่สร้างให้เหมือนโบสถ์คริสต์

เหตุที่ไม่อยากให้พลาดชมวัดนิเวศธรรมประวัตินี้ก็เนื่องจากว่า วัดนี้มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นและงดงามแปลกตา ซึ่งหากใครได้มาเห็นเป็นครั้งแรกคงไม่คิดว่าที่นี่เป็นวัด แต่คงคิดว่าเป็นโบสถ์ฝรั่งเสียมากกว่า เพราะสถาปัตยกรรมภายนอกของพระอุโบสถนั้นเป็นศิลปะแบบโกธิค มีกระจกสีประดับอย่างสวยงาม

วัดนิเวศธรรมประวัตินี้สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อพ.ศ.2419 เพื่อใช้เป็นที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ขณะเสด็จประทับที่พระราชวังบางปะอิน โดยการสร้างวัดแห่งนี้ พระองค์ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้เจ้าพนักงานรับเหมาช่างชาวตะวันตก โดยได้นายโยอาคิม แกรซี (Joachim Grassi) สถาปนิกชาวอิตาเลียนมาออกแบบสร้างพระอุโบสถและอาคารหมู่กุฏิทั้งหลายเป็นแบบตะวันตก

Photobucket
ภายในพระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ มีกลิ่นอายแบบตะวันตก

ประวัติการก่อสร้างวัดแห่งนี้ได้จารึกไว้ในแผ่นศิลาในพระอุโบสถ โดยได้ระบุว่า “...ซึ่งทรงพระราชดำริให้สร้างโดยแบบอย่างเป็นของชาวต่างประเทศดังนี้ ใช่จะมีพระราชหฤทัยเลื่อมใสนับถือศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนานั้นหามิได้ พระราชดำริให้ในพระประสงค์ จะทรงบูชาพระพุทธศาสนาด้วยของแปลกประหลาด และเพื่อให้อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงชมเล่นเป็นของประหลาด ไม่เคยมีในพระอารามอื่นแลเป็นของมั่นคงถาวร...” เราจึงได้เห็นวัดไทยหน้าตาเหมือนโบสถ์ฝรั่งด้วยประการฉะนี้

แม้เมื่อเดินเข้ามาด้านในพระอุโบสถแล้วก็ยังคงมีกลิ่นอายของโบสถ์ฝรั่ง ตั้งแต่ผนังที่ไม่ได้มีลวดลายจิตรกรรมฝาผนังเหมือนวัดพุทธทั่วไป แต่เป็นลวดลายพรรณพฤกษา บริเวณด้านล่างฐานที่ประดิษฐานพระประธานมีอัศวินในชุดเกราะเหล็กยืนจังก้าถือตะเกียงกันอยู่ด้านละคน สร้างบรรยากาศของความเป็นฝรั่งได้มากทีเดียว และแม้แต่ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธานก็ยังทำคล้ายที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ ส่วนพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานนั้นนามว่า “พระพุทธนฤมลธรรโมภาส” ออกแบบโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ถัดลงมาประดิษฐานพระนิรันตราย แสดงถึงความเป็นวัดในธรรมยุติกนิกาย

Photobucket
พระพุทธนฤมลธรรโมภาส พระประธานในพระอุโบสถ

“ตะลอนเที่ยว” นั่งชื่นชมความงดงามของกระจกสีและลวดลายต่างๆ ที่ประดับอยู่บนผนังพระอุโบสถอยู่เป็นนาน เพราะชื่นชมในความงามแปลกตา ก่อนจะออกมาชมสิ่งต่างๆ ด้านนอก ซึ่งบริเวณด้านหน้าพระอุโบสถจะมีหอประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ พระพุทธรูปยืนปางขอฝน ตรงข้ามกับหอพระคันธารราษฎร์ เป็นหอประดิษฐานพระพุทธศิลาปางนาคปรก พระพุทธรูปสมัยลพบุรี ฝีมือช่างขอมอายุนับพันปี

ส่วนอาคารด้านหลังพระอุโบสถก็ยังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของวัดนำมาจัดแสดงให้ชม เช่น พระพุทธรูปต่างๆ และเครื่องสังเค็ดในงานพระเมรุล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และพระบรมวงศ์ชั้นสูง ฯลฯ

เที่ยววัดและวังกันมาจนเริ่มเหนื่อยและหิว เพราะฉะนั้นจะเป็นการดีถ้าเราจะเดินทางมาต่อกันที่ “ตลาดโก้งโค้ง บ้านแสงโสม” ตลาดย้อนยุคโบราณที่เพิ่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่ก็เริ่มมีเสียงบอกต่อๆกันถึงความน่ารักของตัวตลาด

Photobucket

โก้งโค้งซื้อของ ที่ตลาดโก้งโค้ง


คำบอกเล่าเกี่ยวกับที่มาของตลาดโก้งโค้งนั้นก็มีอยู่ว่า กรุงศรีอยุธยาซึ่งเคยเป็นราชธานีของไทยมายาวนานถึง 417 ปีนั้น เคยเป็นเมืองท่าและเป็นศูนย์กลางการค้ามาแต่อดีต ซึ่งก็นำรายได้มาสู่กรุงศรีอยุธยามหาศาล ในบริเวณนี้แต่เดิมเป็น “ด่านขนอนหลวง” หรือด่านเก็บภาษีสินค้าที่มากับเรือเดินทะเลหรือเรือที่จะเข้ามาค้าขายในกรุง และยังเป็นที่ชุมนุมซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวไทยและชาวต่างชาติ จนกลายเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่ง

พ่อค้าแม่ขายจะนำสินค้ามานั่งวางขายบนพื้นอย่างไม่ถือตัว ส่วนคนซื้อก็อ่อนน้อมถ่อมตน ต้องโน้มตัวลงไปเพื่อเลือกซื้อสินค้า เป็นภาพการซื้อขายที่แสดงถึงความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรีของคนไทยสมัยก่อน จนเกิดเป็นภาษาชาวบ้านว่า “ตลาดโก้งโค้ง” แต่ต่อมาตลาดแห่งนี้ก็ได้สูญหายไปตามกาลเวลา จนได้มีการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งที่นี่

Photobucket

ของกินของใช้มีให้เลือกซื้อที่ตลาดโก้งโค้ง


“ตะลอนเที่ยว” ได้ไปโก้งโค้งดูข้าวของในตลาดมาแล้ว ก็พบว่าที่ตลาดนี้มีเสน่ห์ตรงความเรียบง่าย พ่อค้าแม่ค้าใส่เสื้อม่อฮ่อมกางเกงขาก๊วยสวมงอบเอาของมาขาย ซึ่งข้าวของต่างๆ นั้นก็มีทั้งของกินพวกผักผลไม้สดพื้นบ้าน เช่น มะระ มะเขือ ชะอม ฟักทอง ฝักบัว หัวเผือกหัวมัน มะเฟือง มะม่วง มะละกอ ขนมไทยน่าอร่อยอย่างทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ขนมครก และอาหารไทยรสดี เช่น ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ก็มีให้เลือกซื้อกินด้วยเช่นกัน

และนอกจากของกินแล้วที่นี่ก็ยังขายของเล่น ของใช้ต่างๆ อีกมาก เช่น ภาชนะดินเผาอย่างกระถางต้นไม้ หรือตุ๊กตาดินเผาประดับสวนก็มีให้เลือกหลายแบบ เครื่องจักสานนานาชนิดในราคาไม่แพง ของตกแต่งทำจากไม้เอาไว้จัดสวนน่ารักๆ ก็มีเยอะ ยังไม่นับถ้วยชามรามไหแบบเก่าๆสมัยที่เราเคยใช้เมื่อตอนเด็กๆ และข้าวของที่ระลึกต่างๆอีกมากมายที่วางขายให้เราได้โก้งโค้งเลือกซื้อกัน เป็นการปิดท้ายความประทับใจในการมาท่องเที่ยวที่บางปะอินแห่งนี้

Photobucket

เมล็ดพันธุ์ธัญพืชต่างๆ ก็มีขายที่ตลาดโก้งโค้ง



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“พระราชวังบางปะอิน” ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเลน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ตรงไปมุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วแยกซ้ายเข้าอำเภอบางปะอิน (308) ตรงไปประมาณ 7 ก.ม. ก็จะถึงพระราชวัง ซึ่งเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. ส่วน “วัดนิเวศธรรมประวัติ” จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวัง สามารถมาขึ้นกระเช้าได้บริเวณด้านหลังลานจอดรถของพระราชวังบางปะอิน และการเดินทางไปยัง “ตลาดโก้งโค้ง” จากพระราชวังบางปะอิน ให้วิ่งมาตามทางหลวงหมายเลข 3477 (บางปะอิน-วัดพนัญเชิง หรือถนนบางปะอินสายใน) วิ่งผ่านสถานีรถไฟบางปะอินไปประมาณ 6-7 ก.ม. ตัวตลาดจะอยู่ทางซ้ายมือ เปิดบริการ09.00-16.00น. ตั้งแต่วันพฤหัส-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ สอบถามโทร0-3572-8286, 08-9107-8443
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2552 15:18 น.

เพลินพิศชมวัง มนต์ขลังความงามแห่งสยามประเทศ

เพลินพิศชมวัง มนต์ขลังความงามแห่งสยามประเทศ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 เมษายน 2553 15:40 น.
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
Photobucket
วัดพระแก้ว วัดภายในพระบรมมหาราชวัง(ภาพ : ททท.)

ก่อนอื่นฉันต้องขอสวัสดีวันปีใหม่ไทยกันก่อน หวังว่าทุกคนคงจะสุขสำราญกับวันหยุดยาวครั้งนี้ แต่หากใครไม่ได้ออกนอกเมืองไปไหนฉันขอแนะนำสถานที่เที่ยวที่ยิ่งใหญ่นั้นคือการเที่ยวชม "วัง" อันทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม ทรงคุณค่าทางด้านความสำคัญ และทรงคุณค่าทางจิตใจอีกด้วย เพราะสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเราคนไทยทั้งชาติ

นั่นเลยทำให้วันหยุดยาวครั้งนี้ ฉันจึงขันอาสาพาแฟนานุแฟนมิตรรักนักอ่านไปสัมผัสกับวังต่างๆ ที่น่าสนใจในกรุงเทพฯกัน

พระบรมมหาราชวัง

สำหรับวังแรกคือ "พระบรมมหาราชวัง" ที่ตั้งอยู่ใกล้กับท้องสนามหลวง พระบรมมหาราชวังแห่งนี้เป็นพระราชวังหลวงที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี โปรดเกล้าให้สร้างขึ้น เมื่อทรงย้ายราชะานีจากกรุงธนบุรี มายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยการก่อสร้างพระราชวังเริ่มขึ้นพร้อมๆกับการสร้างพระนครในปี พ.ศ.2325

Photobucket
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง

พระบรมมหาราชวังได้ถูกใช้เป็นที่ประทับและศูนย์กลางการปกครองของพระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์มาโดยตลอด จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ประทับเพียงครั้งคราว และมาในสมัยรัชกาลที่ 8 พระองค์เสด็จประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน กระทั้งเสด็จสวรรคต จากนั้นก็ไม่มีพระมหากษัตริย์เสด็จมาประทับเป็นการถาวรอีก ปัจจุบันพระบรมมหาราชวังถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญๆต่างๆ ตามพระราชประเพณี เป้นที่รับแขกเมืองและพระราชอาคันตุกะ รวมทั้งเป็นที่ตั้งพระบรมศพและพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง

ผังของพระบรมมหาราชวังแห่งนี้ เป็นไปตามแบบของกรุงศรีอยุธยาในหลักใหญ่ๆ คือ สร้างชิดแม่น้ำ หันหน้าวังขึ้นเหนือน้ำ เอากำแพงเมืองด้านข้างแม่น้ำเป็นกำแพงวังชั้นนอก สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ไว้ในเขตพระราชฐาน เหมือนอย่างวัดพระศรีสรรเพชญ ในพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแม้ภายในพระบรมมหาราชวังแห่งนี้จะไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชมด้านในอย่างใกล้ชิด แต่ฉันก็จะขอแนะนำให้รู้จักคร่าวๆกัน และก็สามารถมองเห็นและถ่ายรูปได้จากด้านนอกด้วย

โดยภายในพระบรมมหาราชวังประกอบด้วยพระที่นั่ง หอ พระตำหนัก และสถานที่สำคัญๆมากมาย "พระที่นั่งและหอในหมู่พระมหามณเฑียร" เขตพระราชฐานชั้นกลาง อาทิ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน อันเป็นพระที่นั่งองค์ประธานในหมู่พระที่นั่งมหามณเฑียร, พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นพระที่นั่งต่อเนื่องกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน , พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน ซึ่งภายในกำแพงแก้วของพระที่นั่งแห่งนี้ยังมีพระที่นั่งและหอต่างๆอีกมากมาย

Photobucket
พระที่นั่งดุสิตฯ ในพระบรมมหาราชวัง

สำหรับ"พระที่นั่งในหมู่พระมหาปราสาท"เขตพระราชฐานชั้นกลาง" ได้แก่ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในยังมีพระที่นั่งต่างๆอีก เช่น พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท, พระที่นั่งราชกรัณยสภา เป็นต้น ส่วนพระที่นั่งพิมานรัตยา เป็นพระที่นั่งที่เชื่อมต่อกับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก่ออิฐถือปูน ทาสีขาว ยกพื้นสูง มีเสาลอยรับหลังคาโดยรอบ

ส่วน "พระที่นั่งในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท" เขตพระราชฐานชั้นกลาง อาทิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง ใน พ.ศ. 2418 , พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระที่นั่งองค์ใหม่ขึ้น แทนพระที่นั่งเดิมที่ทรุดโทรม ด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปร่วมสมัย ตัวพระที่นั่งเป็นอาคารแบบยุโรป มุงหลังคาพระที่นั่งด้วยกระเบื้องเป็นแบบไทยเพื่อให้รับทัศนียภาพกับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และได้พระราชทานนามอันเป็นนามของพระที่นั่งองค์เดิม

พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร เป็นพระที่นั่งองค์ใหม่อันเป็นส่วนต่อเติมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยง และสำหรับ "หมู่พระที่นั่งในสวนศิวาลัย" เขตพระราชฐานชั้นกลาง มีพระที่นั่งสำคัญ อาทิ พระที่นั่งบรมพิมาน ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร นอกจากนี้ยังมีพระที่นั่ง หอ พระตำหนัก และอาคารต่างๆอีกมากมายที่ฉันไม่สามารถบรรยายได้หมดเป็นแน่

Photobucket
พระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งอันงดงามในพระราชวังดุสิต(ภาพ : ททท.)

พระที่นั่งวิมานเมฆ

จากพระบรมมหาราชวัง ฉันจะพาไปต่ออารมณ์กันที่ "พระราชวังดุสิต" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อเสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ใน พ.ศ. 2440 โดยใน พ.ศ. 2441 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพลับพลาขึ้นเป็นที่เสด็จประทับแรมชั่วคราว และพระราชทานนามว่า "สวนดุสิต"

และเนื่องจากเดิมนั้น นายแพทย์ประจำพระองค์ได้กราบบังคมทูลว่า ในพระบรมมหาราชวังซึ่งเป็นพระราชนิเวศน์ที่ประทับมาแต่เดิมไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ทรงพระประชวรกันเสมอ ต่อมา เมื่อมีการสร้างพระที่นั่งขึ้น และพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาประทับบ่อยครั้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชนิเวศน์แห่งใหม่ และพระราชทานนามว่า "วังสวนดุสิต"

ต่อมาเมื่อมีการขยายพระนครจึงเกล้าฯ ให้สร้างที่ประทับถาวรขึ้น และเสด็จมาประทับบ่อยครั้ง จึงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระที่นั่งต่าง ๆ ขึ้นเพื่อใช้ประกอบพระราชพิธีได้เช่นเดียวกับพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเปลี่ยนนามวังสวนดุสิตเป็น พระราชวังสวนดุสิต จนกระทั่ง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เรียกพระราชวังสวนดุสิตว่า "พระราชวังดุสิต"

Photobucket
นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปที่พระที่นั่งวิมานเมฆ

สำหรับที่พระราชวังดุสิตนี้มีพระที่นั่งสำคัญๆได้แก่ พระที่นั่งอนันตสมาคม, พระที่นั่งอัมพรสถาน, พระที่นั่งอภิเศกดุสิต และพระที่นั่งวิมานเมฆ แต่สถานที่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสมารถเข้าไปชมได้นั้นคือ "พระที่นั่งวิมานเมฆ" อันเป็นพระที่นั่งที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกในพระราชวังดุสิต ใน พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นที่เกาะสีชังเมื่อ พ.ศ. 2435 แต่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์มาสร้างในสวนดุสิต และพระราชทานนามว่า "พระที่นั่งวิมานเมฆ"

ลักษณะขององค์พระที่นั่งนี้เป็นแบบวิตอเรีย ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมยุโรป ผสมกับไทยประยุกต์ องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัวแอลในภาษาอังกฤษ ยาวด้านละ 60 เมตร สูง 20 เมตร เป็นอาคาร 3 ชั้น ยกเว้นตรงส่วนที่ประทับซึ่งมีรูปร่างเป็นแปดเหลี่ยม มี 4 ชั้น ชั้นล่างสุดก่ออิฐ ถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมดทาด้วยสีครีมอ่อนหลังคาสีแดง และหลังคาเป็นทรงไทยประยุกต์ มีลวดลายตามหน้าต่าง และช่องลมซึ่งฉลุเป็นลายที่เรียกว่าขนมปังขิง

รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จมาประทับที่พระที่นั่งวิมานเมฆ จนกระทั่งพระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นและแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2449 พระองค์จึงได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานเป็นการถาวร จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2453 และพระที่นั่งวิมานเมฆยังคงเป็นสถานที่ประทับของเจ้านายจนกระทั่งสิ้นรัชกาล

Photobucket
มุมหนึ่งของพระที่นั่งวิมานเมฆ

ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาประทับที่พระที่นั่งวิมานเมฆใน พ.ศ. 2468 แต่เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระวรราชายาก็ทรงย้ายออกจากพระที่นั่งวิมานเมฆ และจากนั้นมาพระที่นั่งวิมานเมฆก็มิได้เป็นพระราชฐานที่ประทับของเจ้านายอีก

จนมาถึงในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อพ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปีที่ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงขอพระบรมราชานุญาตซ่อมพระที่นั่งวิมานเมฆ เพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันพระที่นั่งวิมานเมฆจึงเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของสำนักพระราชวัง รวมทั้งหมู่พระตำหนักของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในด้วย

สำหรับพระที่นั่งวิมานเมฆนี้จะแบ่งเป็นห้องชุดต่างๆ 5 สีด้วยกัน คือสีฟ้า เขียว ชมพู งาช้าง และสีลูกพีช (ชมพูอมส้ม) แต่ละห้องจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 5 รวมถึงเจ้านายชั้นสูง เช่น ห้องสีเขียว เป็นห้องเครื่องเงินจากประเทศจีน ส่วนชั้นสองเป็นห้องทรงงานของรัชกาลที่ 5 และห้องบนชั้นสามจะเป็นห้องบรรทม แต่ห้องที่งดงามที่สุดในพระที่นั่งวิมานเมฆเห็นจะเป็นห้องท้องพระโรง ที่มีบรรยากาศขรึมขลังอลังการมากที่สุด ใครที่ยังไม่เคยไปชมฉันขอแนะนำว่าให้ลองไปสักครั้งในชีวิตจักถือเป็นบุญยิ่ง

Photobucket
เรือนไทยภายในวังสวนผักกาด

วังสวนผักกาด

จากนั้นโยกย้ายไปยังอีกหนึ่งวังที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมได้ นั้นก็คือ "วังสวนผักกาด" ถ.ศรีอยุธยา อันเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต และ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร (เทวกุล) โดยสร้างเพื่อประทับในช่วงสุดสัปดาห์ และเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมศิลปะและโบราณวัตถุ โดยที่เจ้าของบ้านยังใช้เป็นที่พำนักอยู่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2495

ภายหลังจากพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรฯ สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2502 พระชายา คือ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ได้มอบให้วังสวนผักกาดอยู่ในความดูแลของ มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ และเปิดเป็น พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดตั้งแต่นั้นมา โดยในวังสวนผักกาด ประกอบด้วยเรือนไทยโบราณ 8 หลัง เรือนหลังที่ 1-4 จัดเป็นหมู่เรือนไทย

เรือนหลังแรกมีสะพานเชื่อมไปสู่เรือนหลังที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ ตามลำดับ ส่วนเรือนหลังที่ 5-8 ปลูกอยู่ห่างกันทางทิศตะวันตก และมีหอเขียนอยู่ทางทิศใต้ นอกจากนี้ก็ยังมี "ห้องบ้านเชียง" และ"ห้องศิลปนิทรรศมารศี" จัดแสดงอยู่ในศิลปาคารจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ สำหรับสิ่งที่โดดเด่นในพิพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือ "หอเขียน" ซึ่งตั้งอยู่บนสนามหญ้าทางทิศใต้ของวังสวนผักกาด หอเขียนหลังนี้เสด็จในกรมฯได้นำสิ่งปลูกสร้างมาจากวัดบ้านกลิ้ง จ.พระนครศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 2501 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์ให้สถาปัตยกรรมของไทยคงอยู่

Photobucket
อาคารเรือนไทยในวังสวนผักกาด

นอกจากหอเขียนแล้ว ในหมู่เรือนไทยโบราณอื่นๆ เช่นเรือนไทยหลังที่ 1 จัดแสดงเป็น "พิพิธภัณฑ์ดนตรี ทูลกระหม่อมบริพัตฯ" ที่ภายในมีการจัดแสดงเครื่องดนตรีไทยในทูลกระหม่อมบริพัตฯ ซึ่งพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นพระบิดาแห่งเพลงไทยสากล ส่วนเรือนไทยหลังอื่นๆก็มีการจัดแสดงที่น่าสนใจไม่แพ้เรือนไทยหลังแรก ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์โขนในเรือนไทยหลังที่ 6 หรือเครื่องชามสังคโลกในเรือนไทยหลังที่ 7 ส่วนเรือนไทยหลังอื่นๆก็มีการจัดแสดงวัตถุโบราณต่างๆที่น่าสนใจไว้อย่างมากมาย

และนั่นก็เป็น 3 วังงามที่น่าสนใจในกรุงเทพฯ นอกจากนี้กรุงเทพฯยังมีวังที่น่าสนใจให้เที่ยวชมกันอีก อาทิ วังพญาไท พระราชวังเดิม เป็นต้น ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ความงามคู่สยามประเทศที่ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่ายิ่งของเมืองไทย

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

วังสนามจันทร์-ปางปะอิน 2 วังงามใกล้กรุง

Photobucket
พระราชวังสนามจันทร์

นอกจากวังเด่นๆในกรุงเทพฯแล้ว หากกล่าวถึงพระราชวังอันมีชื่อเสียงของจังหวัดในเขตปริมณฑล อย่าง "พระราชวังสนามจันทร์" อ.เมือง จ.นครปฐมถือเป็นหนึ่งในสถานที่อันสวยงามที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม

โดย "พระราชวังสนามจันทร์" แห่งนี้สร้างขึ้นในพื้นที่เดิมที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นพระราชวังเก่าของกษัตริย์ในสมัยโบราณ เรียกว่าเนินปราสาท เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ยังดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชฯ มีพระราชประสงค์จะสร้างวังขึ้น ณ เมืองนครปฐม เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดความร่มเย็นเป็นธรรมชาติ ความเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรม ศาสนาของเมืองนครปฐม และเพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์และเมื่อบ้านเมืองถึงยามวิกฤต

พระองค์ทรงเห็นว่าบริเวณเนินปราสาทนั้นเป็นทำเลที่เหมาะสมจึงขอซื้อที่ดินจากราษฎรรวมทั้งสิ้น 888 ไร่ เพื่อสร้างพระราชวัง แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้หลวงพิทักษ์มานพ (น้อย ศิลปี ซึ่งต่อมาเลื่อนยศเป็นพระยาวิศุกรรม ศิลปประสิทธิ์) เป็นแม่งาน ใช้เวลาสร้างถึง 4 ปีด้วยกัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยลงใน พ.ศ.2450 รัชกาลที่ 6 จึงพระราชทานนามให้ว่า "พระราชวังสนามจันทร์" ตามชื่อที่ชาวบ้านเรียกขานสระน้ำโบราณหน้าโบสถ์พราหมณ์ (ปัจจุบันไม่มีโบสถ์พราหมณ์เหลืออยู่แล้ว) ว่า สระน้ำจันทร์ หรือสระบัว

สำหรับพระราชวังสนามจันทร์ ประกอบไปด้วยพระที่นั่งและพระตำหนักต่างๆ อันมีชื่อคล้องจองกันได้แก่ พระที่นั่งพิมานปฐม พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ พระที่นั่งวัชรีรมยา พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ พระตำหนักทับขวัญ พระตำหนักทับแก้ว และอนุสาวรีย์ย่าเหล

Photobucket
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ความงดงามกลางน้ำในพระราชวังปางปะอิน

และอีกหนึ่งพระราชวังใกล้กรุงก็คือ "พระราชวังบางประอิน" อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา พระราชวังบางปะอินนั้น ตามตำนานได้กล่าวไว้พอสรุปความได้ว่า...เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จประพาสล่องแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเรือเกิดล่มที่บริเวณเกาะบ้านเลนอยุธยา ทำให้พระองค์ได้พบกับ“อิน”หญิงสาวชาวบ้าน ที่พอพบพาก็ถูกตาต้องใจและมีสัมพันธ์กันจนให้กำเนิดพระราชโอรส ที่ภายหลังขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า"สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง" ซึ่งในปี พ.ศ. 2175 พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นในบริเวณที่เสด็จพระราชสมภพ แล้วพระราชทานชื่อว่า "วัดชุมพลนิกายาราม"นอกจากนี้ยังมีการสร้าง "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์"ขึ้น

นับแต่นั้นมาพระราชวังแห่งนี้กลายเป็นที่เสด็จประพาสเพื่อความสำราญของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา ก่อนจะถูกทิ้งร้างหลังเสียกรุงฯ จากนั้นในยุครัตนโกสินทร์พระราชวังบางปะอินได้รับการฟื้นฟูเรื่อยมาจนปัจจุบันพระราชวังบางปะอินถือเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันขึ้นชื่อของอยุธยา

สำหรับสิ่งน่าสนใจในพระราชวังแห่งนี้เริ่มตั้งแต่เขตพระราชฐานชั้นนอก ที่แรกคือ หอเหมมณเฑียรเทวราช ที่รัชกาลที่ 5 สร้างถวายแด่พระเจ้าปราสาททอง มีรูปทรงคล้ายพระปรางค์แบบขอมขนาดเล็ก ต่อไปคือ สระน้ำใหญ่ ที่มีกระโจมแตรแปดเหลี่ยมตั้งอยู่ริมน้ำ ส่วนตรงกลางสระน้ำดูโดดเด่นไปด้วย พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ หนึ่งในสัญลักษณ์ของพระราชวังบางปะอิน ที่ประณีตงดงามด้วยสถาปัตยกรรมไทยทรงปราสาทจตุรมุข ซึ่งจำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ภายในประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของรัชกาลที่ 5

อีกแห่งหนึ่งที่โดดเด่นในพระราชวังแห่งนี้ก็คือ หอวิฑูรทัศนา หอสูง 4 ชั้น ยอดมนตั้งโดดเด่นอยู่ ซึ่งหอวิฑูรแห่งนี้ถือเป็นหอชมวิวพระราชวังบางปะอินชั้นเยี่ยม ที่หากใครมีกำลังขาเหลือเฟือน่าจะเดินขึ้นบันไดเวียนชึ้นไปชมวิวด้านบน ที่บนหอวิฑูรฯ สามารถมองเห็นทิวทัศน์มุมสูงสวยๆงามๆของพระราชวังบางปะอินได้หลายมุม ไม่ว่าจะเป็นพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรในมุมสูง หรือพระที่นั่งเวหาศจำรูญที่อยู่ใกล้ๆกับหอวิฑูรฯ

นอกจากนี้ภายในพระราชวังบางปะอินยังมีสถานที่สำคัญอีกมากมาย อาทิ อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทกุมารีรัตน์ ซึ่งเสด็จทิวงคตเนื่องจากเรือพระที่นั่งเกิดอุบัติเหตุล่มลงในแม่น้ำเจ้าพระยา และที่ใกล้ๆกันนั้นเป็นอนุสาวรีย์ราชานุสรณ์ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างขึ้นเพื่อไว้อาลัยแด่พระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ พร้อมทั้งพระราชโอรสและพระราชธิดาอีกสามพระองค์ เป็นต้น

story by astv 13 เมษายน 2553
by : หนุ่มลูกทุ่ง